เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะสัจธรรม เวลาสัจธรรมนะ ดูสิถ้าวันเกิด ถ้าวันเกิดมันเกิดความสำคัญคือวันเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยมรรคญาณ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เห็นไหม ตรงในวันเดียวกันเป็นความมหัศจรรย์ นี่วันวิสาขบูชา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่ไม่มีใครทำบุญกุศลสิ่งใดเลย ไม่ทำบุญกุศลเพราะอะไร เพราะว่าท่านให้ปฏิบัติบูชา ท่านไม่ให้ถือไง ไม่ให้ถือสิ่งนี้เป็นความสำคัญไง ความสำคัญคือการประพฤติปฏิบัติของเราต่างหากล่ะ
ถ้าการประพฤติปฏิบัติของเรา สัจจะความจริง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามถึงพระอานนท์ อานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่หน ๕ หน ๑๐ หนก็ว่ากันไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าจะเป็นวันเกิดๆ นะ วันเกิดก็เกิดทุกวัน หลวงปู่ฝั้นบอกเกิดทุกวัน เกิดมาลืมตาตื่นขึ้นมาคือเกิด ถ้านอนหลับไปแล้วไม่ตื่นคือตาย
เวลาเกิดขึ้นมา เวลาเกิด เห็นไหม เกิดทุกวัน วันเกิด วันเกิดก็วันปกติธรรมดานี่แหละ แต่ถ้ามันเป็นทางโลก วันเกิด วันขึ้นปีใหม่ วันนักขัตฤกษ์ต่างๆ มันเป็นวันที่ให้เริ่มต้นทำบุญกุศลของเราไง สิ่งใดที่ทำมา ชีวิตของเรามีสิ่งใดที่ผิดพลาดมา ชีวิตของเรามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องมา ถ้าถึงวันขึ้นปีใหม่แล้วเราจะตั้งสัจจะของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเราขึ้นไป ฉะนั้น เวลาถึงวันเกิด วันเกิดขึ้นมา คนที่มีอำนาจ มีศักยภาพเขาก็ไปอวยพรวันเกิดกัน ไปอวยพรวันเกิดเพราะเขาต้องการความสัมพันธ์ ต้องการสังคม
ความเป็นสังคม เห็นไหม มันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องสังคมแต่เวลาความสุข ความทุกข์ล่ะเราก็สุข ทุกข์อยู่ในสังคม เราก็อยู่ในสังคมนี้ เราก็สุข เราก็ทุกข์ของเราในสังคมนี้ แต่เวลาสังคมเขาสรรเสริญเยินยอขึ้นมา ใครมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์ เกียรติคุณเขาก็ไปอวยพรวันเกิดกันไง อวยพรวันเกิด นั่นเขาอวยพรของเขา แต่ของเราล่ะ
ของเรา เห็นไหม ดูสิเวลาเราอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ เราอยู่กับหลวงตาไม่ใช่หลวงปู่มั่น อยู่กับหลวงตาใช่ไหม เวลาเขาเอาหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น เขาไปพิมพ์กันมาแล้วมาถวายหลวงตา หลวงตาท่านบอกว่าของเราเราก็พิมพ์ของเราเอง ถ้าคิดถึงหลวงปู่มั่นเราก็เคารพหลวงปู่มั่นของเราเอง ถ้าท่านเคารพบูชาหลวงปู่มั่นท่านก็พิมพ์หนังสือหลวงปู่มั่นแจกเหมือนกัน เวลาใครจะพิมพ์หนังสือหลวงปู่มั่นมันก็พิมพ์แจกของเขา เพราะ เพราะเขามีศักยภาพ เขามีวุฒิภาวะ เขามีความเห็นเท่านั้น
แต่หลวงตากับหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในกลดอันเดียวกันมา ท่านอยู่ในกลด เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เวลาเป็นวัณโรค แล้วหน้าหนาวเวลาหายใจไม่ออกท่านได้อุปัฏฐาก ได้ค้ำจุนกัน ท่านได้ระลึกถึงกัน ท่านได้ทุ่มเทชีวิตต่อกัน ท่านเอาชีวิตแลกชีวิต เพราะอะไร เพราะวัณโรคเวลามันติดขึ้นมาก็เป็นวัณโรค โรคติดต่อ เชื้อโรค ท่านเอาชีวิตของท่านแลกกับชีวิตของหลวงปู่มั่น อย่างเราเราไม่กล้าทำหรอก เราจะหลีกเร้นออกไปไกลๆ เพราะเชื้อโรคมันติด สมัยนั้นยามันยังรักษาไม่ได้
นี่ความผูกพัน ความเคารพ ความรัก แล้วใครมันจะรู้ได้ล่ะ ใครจะรู้ได้ ใครจะรู้ได้ว่าหลวงตาเคารพหลวงปู่มั่นขนาดไหน ไอ้เราได้ยินหลวงตาท่านเขียนประวัติของท่าน ท่านเชิดชูของท่าน เรามาอ่านเราก็ชื่นชม ชื่นชมเราก็จะพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือความชื่นชมก็ต้องพิมพ์ให้โลกเขาเข้าใจได้ ถ้าโลกเข้าใจได้ก็ต้องพิมพ์เอาอกเอาใจ มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงนะ เห็นไหม ดูสิเวลาหลวงตาบอกถ้าวันเกิดของท่านท่านไม่เกี่ยวกับโครงการช่วยชาติ ท่านเอาชีวิตของท่าน เอาวันเกิดของท่านมาอุ้มชาติ เพราะว่าวันเกิดของท่านทุกคนเคารพบูชาท่านก็ไปทำบุญกับท่านใช่ไหม นี่เวลาทำบุญกับท่านเราก็ไป แต่ของเรามันไร้สาระ
วันเกิดๆ ของเรา แต่วันเกิดของเรา เวลาของเรา ๑๔ ฝันถึงหลวงตา ฝันตลอด ปีหนึ่งฝันถึงหลวงตา ๓ หน ๔ หนแต่เก็บไว้ในใจไม่บอกใคร นี่ฝันถึงตลอด ท่านจะมาอยู่ด้วยกัน มาคลุกคลีกัน มาอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์กัน อุปัฏฐาก อุปถัมภ์กัน นี่มันฝันถึงตลอด อย่างนี้มันเป็นเรื่องของใครล่ะ มันเป็นเรื่องปัจจัตตัง เรื่องภายใน เรื่องภายใน นี่ความเคารพบูชามันเคารพบูชาจากหัวใจไง
ถ้าการเคารพบูชาจากหัวใจ เห็นไหม เราทำจากที่นี่ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดเป็นราชกุมารก็วันนี้วันวิสาขบูชา เวลาตรัสรู้ขึ้นมา เวลาตรัสรู้สำคัญมาก ถ้าไม่ตรัสรู้ขึ้นมาจะเอาคุณธรรมที่ไหนมาสั่งสอนเรา จะเอาคุณธรรมที่ไหนมาบอกเรา นี่เวลาท่านจะดับขันธ์นิพพานก็วันวิสาขะเหมือนกัน เพ็ญเดือน ๖ เหมือนกัน นี่สำคัญ พอสำคัญมันเป็นความสำคัญจริงๆ สำคัญจริงๆ เราถึงทำบุญกุศลกัน ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
นี่ก็เหมือนกัน นี่มันเป็นเรื่องของสังคมไง มันเป็นเรื่องของสังคมนะ เราเองเรายังจำไม่ได้เลย เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม เอาจริงเอาจังขึ้นมา ตั้งสติแล้วนี่หายใจเข้าและหายใจออก มันเข้าถ้ามันออกก็ยังอยู่ ถ้าออกแล้วมันเข้าก็ยังอยู่ นี่อยู่กับปัจจุบันอย่างนี้ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะไง ผลของวัฏฏะนะ เรามีบุญกุศลเราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เวลาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว สิ่งที่ชีวิตนี้มีค่าที่สุด
ฉะนั้น พ่อแม่ถึงเป็นพระอรหันต์ของลูกไง พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา จะมียศถาบรรดาศักดิ์ จะมีทรัพย์สมบัติ จะมีสิ่งใดก็มีชีวิตนี้ พ่อแม่บางคน ลูกไปอยู่เมืองนอก ลูกไม่ยอมกลับมารับมรดก มีทรัพย์สมบัติมา แล้วมรดกนี้ตกทอดมายกให้ใคร เป็นทุกข์เป็นร้อนไปหมดเลย แต่ถ้ามันมีสติ มีปัญญาในหัวใจ นี่เราทำของเราได้ทั้งนั้นแหละ สิ่งที่เราทำของเราได้ เราทำของเราได้เรามีสติ มีปัญญารักษาหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราให้มันเกิดในธรรม ถ้าเกิดในธรรม ฟังธรรมๆ ตอกย้ำสิ่งนี้
สิ่งนี้นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ องไขย ๑๖ อสงไขย ถึงได้รื้อค้นสัจธรรมอันนี้ขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงประกาศนะ ประกาศรื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาเทศนาธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก แล้วเวลาสั่งสอนครูบาอาจารย์มา สั่งสอนกันมามันเป็นยุคเป็นคราว ถึงกึ่งพุทธกาลหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาค้นคว้าของท่านขึ้นมา
เวลาค้นคว้าของท่านขึ้นมา นี่สิ่งที่เวลาท่านแก้ไขจิตใจของลูกศิษย์ลูกหา เป็นผู้ที่พ้นจากทุกข์ มีสัจจะความจริงในใจของสัทธิวิหาริกของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นวางธรรมวินัย วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ แล้วเวลารุ่นสุดท้าย เวลาหลวงตาท่านไปศึกษา คำว่าศึกษา เราเกิดมานี่มีอำนาจวาสนาเกิดมาได้บวช เวลาบวชขึ้นมาแล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ่านประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อยากจะไปสวรรค์ อยากจะไปพรหมกัน เวลาศึกษาลึกซึ้งเข้าไป มันยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นั่นก็ปรารถนาอยากจะพ้นจากทุกข์เลย
นี่ถ้าพ้นจากทุกข์ขึ้นมา แล้วเวลาศึกษามาเป็นมหาจบแล้ว เวลาจบแล้ว แล้วมันจะจริงหรือเปล่า มันจะมีหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ศึกษา ทั้งๆ ที่บอกว่าในความคิดเรามีทั้งดีและเลวอยู่ในความคิดของเรา เหรียญมันมีสองด้าน เราปรารถนาดีขนาดไหน ไอ้กิเลสมันก็ทำให้สงสัย มันจริงหรือเปล่า ชีวิตนี้มันไม่ใช่เสียเปล่าหรือ ทำแล้วมันจะได้หรือเปล่า ตั้งสัจจะอธิษฐาน ถ้ามีบุคคลคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ชี้นำทางเราได้ เราจะถวายชีวิตกับบุคคลผู้นั้น ตรงเป้าไปหาหลวงปู่มั่นเลย
หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการ เห็นไหม ท่านมาแสวงหาอะไร เหมือนเรานี่เราพยายามหาสมบัติที่เขาฝังไว้ แล้วเราไปเราไม่มีคนชี้บอกเราก็ต้องแสวงหาของเรา ถ้ามีคนชี้บอก แล้วชี้บอกถูกหรือไม่ถูกไง ท่านแสวงหาอะไร ท่านแสวงหามรรค ผล นิพพานใช่ไหม มรรค ผล นิพพานไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้อยู่ในดิน ฟ้า อากาศ ไม่ได้อยู่ในแร่ธาตุใดๆ ทั้งสิ้น มรรค ผล นิพพานมันอยู่ในใจของสัตว์โลก มรรค ผล นิพพานมันจะอยู่ในดวงใจ แล้วเวลาที่เราแสวงหาเราก็มีจิตใจ เราก็ดิ้นรนมาหาท่านไง เราก็แบกหัวใจเรามานี่ไง แต่หัวใจมันมีสิ่งใดเข้าไปค้นคว้ามันไง
เวลาท่านชี้เข้ามา นี่มรรค ผล นิพพานมันอยู่ในใจ ค้นคว้าเข้ามาในใจของตน นี่ศึกษามาเพราะศึกษามาเป็นมหามันเทียบเคียงได้ทั้งนั้นแหละ เพราะเราศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้วเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ ขนสัตว์ด้วยธรรมวินัย ปูทางไว้แล้ว ทางอันเอก มรรคโคทางอันเอก แต่เอกตรงไหน เอกเริ่มต้นจากตรงไหนแล้วไปอย่างไร
เวลาหลวงปู่มั่นท่านเริ่มต้น เริ่มต้นสัมมาสมาธิ เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ท่านไปปฏิบัติพรรษาแรกที่จักราช จิตมันเป็นสมาธิ กำหนดดูจิตเฉยๆ เพราะเวลาบวชใหม่ๆ อุปัชฌาย์ท่านกำหนดพุทโธก็พุทโธไปกับท่าน ศึกษาอยู่ ๗ ปี ทำความสงบของใจได้ ๓ หน เวลาไปศึกษามา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากไปสวรรค์ ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วอยากไปนิพพาน เวลาออกประพฤติปฏิบัติยังไม่มีใครสอนก็ไปกำหนดดูจิตเฉยๆ ดูจิตๆ จิตเสื่อมไปไม่มีใครแก้ไข
นี่ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ มันไม่มีเหตุมีปัจจัยไง ดูเฉยๆ ด้วยความขี้เกียจ ด้วยความมักง่าย ด้วยคิดว่าฉันตอนที่บวชใหม่ๆ ครูบาอาจารย์สอนกำหนดพุทโธ นี่ศึกษาเล่าเรียนมาจนเป็นมหา กำหนดดูจิตๆ เฉยๆ เสื่อมแล้วมันเอาคืนมาไม่ได้ เอาคืนมาไม่ได้ พอเร่าร้อนไปหาหลวงปู่มั่นไง นี่จิตนี้เหมือนเด็กน้อย เด็กน้อยมันต้องกินอาหารของมัน อาหารของมัน ใจนี่มันต้องกินอารมณ์เป็นอาหารใช่ไหม แต่นี้เรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทธานุสติเป็นอาหารใช่ไหม เราหาอาหารมันไว้ ถ้าเด็กน้อยมันเสื่อมไป มันเที่ยวไหนก็แล้วแต่ถ้ามันหิวกระหายมันต้องกลับมากินอาหารของมัน เราไม่ต้องไปวิตก ไม่ต้องกังวล
ตรงนี้สำคัญมาก ตรงวิตก ตรงกังวล ตรงอยากได้ ต้องเดือดร้อน ตรงนี้ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน พุทโธเฉยๆ พุทโธเฉยๆ พุทโธ พุทโธไป ไอ้สิ่งที่วิตกกังวล ไอ้สิ่งที่มาขัดข้องหมองใจ ไอ้ได้แล้วเสื่อมไป ไอ้ตรงนั้นนั่นล่ะสิ่งที่ยุแหย่มันเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วจิตมันจะไปอยู่ตรงนั้น จิตมันไม่เข้ามาพุทโธ มันจะไปอยู่ตรงนั้นแหละตรงที่เสียใจ ตรงที่เราเคยได้ ตรงที่เราทำแล้วไม่ได้ ตรงไหนที่มันจะได้ จิตมันไปอยู่ตรงนั้นแหละ
เด็กน้อยมันเสื่อม เด็กน้อยมันต้องการอาหาร แต่อาหารที่กิเลสมันเอามาป้อนมันก็เป็นอาหารที่เป็นฟืนเป็นไฟ อาหารที่เป็นพิษไง เสื่อมไปหมดเลย เคยได้ก็ไม่ได้ ปฏิบัติแล้วจะได้หรือเปล่า นี่อาหารของกิเลสมันป้อนเด็กน้อย เด็กน้อยก็เซ่อ แล้วก็ทำไม่ถูกไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ท่านรู้ถึงชั้นเชิงของกิเลสไง ท่านเป็นอุปมาอุปมัยให้เข้าใจได้ ถ้าเด็กน้อยมันเที่ยวไป ถ้ามันหิวกระหายต้องกลับมากินอาหาร เราเตรียมไว้ๆ เตรียมพุทโธไว้ นั่นก็คืออาหารเหมือนกัน
พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วมันก็สงบจริงๆ พอมันสงบขึ้นมาแล้ว นี่ไงเวลาศึกษามาแล้วต้องการคนที่ชี้นำ นี่ขุมทรัพย์ๆ ขุมทรัพย์ที่อยู่ในใจ นิพพานมันอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานมันอยู่ในหัวใจไง แล้วหัวใจมันอยู่ที่ไหน หัวใจอยู่ที่ไหน หัวใจอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ก็อวกาศไง นี่อวกาศมันก็ว่าง แต่มันไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ถ้ามันมีสติ มีปัญญามันจะเสื่อมไปได้อย่างไร ถ้ามันมีผู้รักษามันจะเสื่อมไปได้อย่างไร นี่เพราะมันรักษาไม่เป็นถึงเสื่อมไปไง แล้วเสื่อมไปก็ทำไม่เป็นอีกต่างหาก แต่ถ้าครูบาอาจารย์ทวนกระแสกลับมาเริ่มต้นทำได้ นี่แล้วทำตามที่หลวงปู่มั่นท่านชี้นำไปถึงที่สุดแห่งทุกข์
นี่ไงเวลาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง นิพพานมันอยู่ที่ไหน นิพพานมันอยู่ในหัวใจ แล้วเวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์ ไปเกิดที่ไหน เวลาศึกษามาๆ จากหลวงปู่มั่น เวลาศึกษามา ศึกษาธรรมวินัย ศึกษามาจนเป็นมหา เวลาประพฤติปฏิบัติหลวงปู่มั่นสอนภาคปฏิบัติ เวลาบรรลุธรรมขึ้นมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า ซาบซึ้งไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แบบนี้ แล้วจิตใจของเราพอมันรู้แบบนี้มันลึกลับซับซ้อนได้ จนหลวงตาท่านบอกว่าไม่ปรารถนาจะสอนใครเลย ถ้าสอนไปเขาต้องหาว่าเราบ้าแน่ๆ เลย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทั้งๆ ที่ปรารถนามารื้อสัตว์ ขนสัตว์ยังทอดธุระจนต้องพรหมมานิมนต์ไง มันลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น ถ้าเกิดอย่างนี้มีคุณค่า จิตใจของเราเราเกิดในธรรม โงหัวขึ้นมา อย่าให้กิเลสมันเหยียบย่ำ กิเลสในใจของเรา กิเลสคือความคิดของเรา ความคิด ความรู้สึกของเราเป็นเหยื่อ กิเลสมันเอามาป้อนหัวใจ แบบที่หลวงตาเวลาจิตเสื่อมไง อยากได้ ทุกข์ร้อน เหมือนกับไฟเผากลางหัวอก ไปไหนมีแต่ความเร่าร้อน
นี่เวลากิเลสมันป้อนมันป้อนแบบนี้ แต่ถ้าเวลาเกิดในธรรม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบระงับขึ้นมาด้วยสติ ด้วยปัญญา พุทธานุสติคือพุทโธ พุทธานุสติ สติในพุทธะ พุทโธ พุทโธนี้เป็นชื่อ เป็นชื่อคืออาหารไม่ใช่ความจริง พุทโธจนพุทโธไม่ได้ มันพุทโธไม่ได้ มันอิ่มเต็มในตัวของมัน พุทโธ เห็นไหม สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตเป็นเอกเทศ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ มีอารมณ์นั้นมันเป็นสอง ไม่มีอารมณ์แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสมาธิ ลองทำเข้าไปแล้วจะรู้
มันไม่มีอารมณ์ มันมีความสุขของมัน แต่สมาธิก็เป็นสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน คนเราทำงานไม่มีที่ทำงาน ทำงานที่ไหน อย่างเรา เห็นไหม เราเป็นผู้บริหาร เราทำงานเราก็ต้องคิดงาน คิดก็คิดจากจิต นี่ไงถ้าจิตสงบแล้วฐานที่ตั้งแห่งการงาน นั้นเป็นสมถกรรมฐาน เวลาเราคิดการงานคิดจากจิต คิดโดยอวิชชา เป็นวิชาชีพ หาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเลี้ยงชีพ มันเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาของกิเลส
ถ้าจิตมันสงบแล้วสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน มันสมควรแก่งาน สมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเกิดปัญญาขึ้นจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา คือภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาการศึกษา ไม่ใช่ปัญญาจากจินตนาการ ไม่ใช่ปัญญาจากความคิด ความคิดของเรา คิดโดยกิเลส คิดโดยกิเลส เพราะมันไม่สงบระงับลงตามความเป็นจริง จิตไม่เป็นหนึ่งเดียว มันเป็นกิเลส พอจิตเป็นหนึ่งเดียวน้อมไปสู่สติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง
มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริงเพราะจิตมันจริง จิตเป็นอิสรภาพ พ้นจากการครอบงำของอวิชชา พ้นจากการนอนเนื่องโดยสมุทัย มันถึงจะเป็นมรรค มันถึงจะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ เวลาพิจารณาไปแล้วมันสมดุล ความสมดุลของมันมัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลของมรรค มรรคเกิดที่ไหน มรรคเกิดจากใจผู้ที่ปฏิบัตินั้น
เวลากิเลสมันเกิดมาเผาลน เผาลนด้วยความทุกข์ยาก เวลามันเกิดมรรคขึ้นมามันมีความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์จนมันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไร แต่มันก็เป็นกับใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นเป็นคนวางรากฐาน เป็นคนประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยการชี้แนะของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ด้วยการชี้แนะของครูบาอาจารย์เราไง เวลาเกิดความมหัศจรรย์
นี่ความมหัศจรรย์อย่างนั้น เวลามรรคญาณมันเกิด ปัญญามันเกิดมันหมุน หลวงตาพูดประจำว่ามันติ้วๆๆ ไอ้เราก็หมุนเล่นลูกข่างเลยล่ะ โยนแหมมันหมุนดีมาก ลูกข่างฉันนิ่งกว่า ลูกข่างฉันดีกว่า หมุนติ้ว หมุนติ้วอย่างไร นี่ไงเวลามรรคมันเกิด เวลาย้อนกลับมาทำลายอวิชชา อันนี้เกิดอย่างนี้ถึงจะเป็นประโยชน์ ถ้าเกิดอย่างนี้เกิดแล้วมันจะได้มรรค ได้ผล
การเกิดควรเกิดอย่างนี้ การเกิดในโลกนี้เกิดในสังคม เกิดจากพ่อจากแม่ ด้วยสายบุญสายกรรม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะให้ชีวิตนี้มา แต่ลูกที่ได้ชีวิตแล้วไปทำสำมะเลเทเมา ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต แต่ถ้าลูกคนใดได้ชีวิตจากพระอรหันต์นี้มา จากพ่อ จากแม่ แล้วใช้ชีวิตนี้ให้มีคุณค่ากับสังคม ประพฤติปฏิบัติให้มีคุณค่ากับใจ เวลาปฏิบัติอยู่โคนไม้อยู่ในห้อง มันเป็นการปฏิบัติโดยเอกเทศ เพราะใจของเรา อยู่กลางหัวอกของเรา สติปัญญาเท่านั้นจะไล่ต้อนเข้าไปถึงค้นคว้ามาได้
คนอื่น อย่างอื่น ไม่มีทางใครจะทำให้ไม่ได้ แล้วทำให้ไม่ได้ มีแต่คุยกัน มีแต่ชักนำกันให้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่มีครูบาอาจารย์ที่จริงจะชักเข้ามาในหัวใจ ถ้าชักเข้ามาในหัวใจ นี่ทวนกระแสกลับเข้าไป โคนไม้ ที่ว่าง ที่สงบสงัด เพื่อค้นคว้าหาตัวตนของเรา แล้วประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาให้มันได้เกิดจริงๆ วันเกิดขอให้จิตนี้มันได้เกิด ได้เกิดในธรรม เอวัง